เรื่อง คัมภรีภูต
ผู้แต่ง จินตวีร์ วิวัธน์
สำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง Groove Publishing
มือเหี่ยวย่นบรรจงลูบไล้คัมภีร์นั้นอย่างเบามือ อันที่จริงหากมองในสายตาของนักนิยมโบราณวัตถุ สิ่งที่อยู่ในมือเฒ่าโปรย ณ บัดนี้ ก็มีค่าควรแก่ความสนใจมากอยู่เหมือนกัน
อย่างน้อยความเก่าแก่ของคัมภีร์ที่ทำจากแผ่นหนังสัตว์ฟอกจนอ่อนนุ่ม พับซ้อนกันในแบบสมุดข่อยโบราณ ก็บ่งบอกว่าอายุอานามน่าจะเกินหลายร้อยปีขึ้นไป แผ่นหนังที่ใช้ทำเป็นตัวคัมภีร์นั้นเก่าคร่ำกระดำกระด่างขาดวิ่น และดูเหมือนพร้อมจะเปื่อยยุ่ยได้ทุกขณะ ชายชราต้องใช้ความประณีตเบามือเป็นพิเศษในการคลี่แผ่นหนังยาวออกอ่านข้อความภายใน
แกต้องชะโงกหน้าเข้าไปจนเกือบชิด จึงสามารถมองเห็นอักขระตัวเล็กที่เรียงรายเต็มพรืดไปหมดทั้งแผ่น ความเนิ่นนานของกาลเวลาทำให้ตัวอักขระประหลาดนั้นลางเลือนลบหายไปก็มาก เลอะเทอะด้วยน้ำและน้ำมันก็แยะ เหนือสิ่งอื่นใด ลักษณะอันแปลกตาของตัวอักขระเป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตาและความสนใจของหมอผีให้จดจ่ออยู่ที่นั่นอย่างลืมตัว
“ภาษาขอมเก่าเหลือเกิน...”
แกบอกตัวเอง พลางทำปากขมุบขมิบ อ่านข้อความนั้นในใจ
หมอโปรยเคยเรียนภาษาเขมรและขอมโบราณ จากอาจารย์ผู้ถ่ายทอดไสยเวทให้จนแตกฉาน แกเคยภูมิใจนักหนาว่า เชี่ยวชาญในภาษาโบราณนี้มากกว่าหมอผีคนใดในประเทศ แต่ตกมาบัดนี้ คัมภีร์โบราณในมือกลับทำให้ความภูมิใจนั้นคลอนแคลนไป
ผู้ขมังเวทจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะเอาชนะ คืออ่านคัมภีร์ภาษาขอมโบราณนี้ให้ออกให้จงได้
แกไล่เลียงไปทีละบรรทัด ตั้งแต่ต้นเรื่อยลงมาตามความยาวของแผ่นหนังที่ยาวประมาณ ๓ ฟุต เมื่อพับซ้อนเข้าหากันแล้ว มีขนาดความกว้างราวครึ่งฟุตเท่านั้น
ยิ่งอ่านหลายบรรทัดเข้า นัยน์ตาของชายชราก็ยิ่งเบิกโพลง
ความสนใจทวีขึ้นจนลืมทุกสิ่งรอบด้าน มุ่งมั่นแต่เฉพาะใจความในคัมภีร์ที่เพิ่งอ่านออกนี้เท่านั้น
แกลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่บรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
อาถรรพณ์บางอย่างดูเหมือนเข้าครอบงำอยู่รอบบริเวณ ก่อให้เกิดความอึดอัดและเยือกเย็นสะท้านอย่างประหลาด
ภายนอกกระท่อมลมเริ่มพัดแรงขึ้นทุกที หอบเอาผงคลีจากพื้นดินปลิวตลบ ต้นไม้ใหญ่ๆ สั่นไหวไกวกิ่งดังวังเวงประหลาด บนฟากฟ้าเมฆดำทะมึน ดูเหมือนจะคล้อยต่ำลงปกคลุมปริมณฑลโดยรอบ จนดูมืดมิดสนิทราวกับอยู่กลางถ้ำลึก
ยิ่งอ่านคัมภีร์ผ่านไปมากเท่าใด ความแรงและเร็วของลมก็ทวีขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งหมุนเป็นเกลียวราวกับจะฉุดเสากระท่อมโย้เย้ให้พังถอนรากถอนโคน กระนั้นหมอผีโปรยก็ยังไม่สนใจ
สมาธิของแกแน่วแน่อยู่กับคัมภีร์ในมืออย่างน่าชม
ริมฝีปากเหี่ยวย่นขมุบขมิบอ่านข้อความตอนกลางๆ ของคัมภีร์อย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ยอมให้ตกหล่นไปเลยสักตัวเดียว
ภายนอกกระท่อม นอกจากเสียงกิ่งไม้ใบไม้ไหวสั่นสะท้านอยู่อื้ออึงแล้ว ท่ามกลางศัพท์สำเนียงโกลาหลนั้นมีเสียงประหลาดบางอย่างสอดแทรกเข้ามาด้วย
มันดังแว่วเหมือนล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกล วู่หวิวก่อนในตอนแรกแล้วค่อยชัดเจนขึ้นทุกขณะ เสมือนเจ้าของเสียงกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา...
เป็นเสียงที่ไม่มีใครเดาออก คลื่นความถี่สูงจนเกือบสุดวิสัยที่หูมนุษย์จะได้ยินในระยะแรก แต่แล้วมันก็ชัดขึ้นจนกระทั่งจับสำเหนียกได้ว่า มันเป็นกระแสเสียงที่แหบพร่า สั่นสะท้าน แต่ก็เต็มไปด้วยการกระโชกกระชั้นคุกคาม
เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาทุกขณะ อื้ออึงอึกทึกจนจับใจความไม่ได้ เพราะมันแทรกผสานมากับเสียงลมคะนองและเสียงกิ่งไม้ไหวสะท้านลั่นเลื่อน
ใกล้เข้ามาทุกที ทุกที
ในที่สุดก็ประดุจศัพท์สำเนียงประหลาดนั้นมาดังอยู่รายล้อมกระท่อมน้อยของผู้ทรงวิทยาคมนั่นเอง
คราวนี้ ความอื้ออึงอึกทึกปานโลกจะสะเทือนพอจะจับใจความได้บ้างแล้ว
ทว่า เป็นใจความที่-หากผู้ใดแอบได้ยินเข้า คงขนหัวลุกไปตามๆ กันด้วยความสยองขวัญ
“ข้ามาแล้ว...เหอ เหอ เหอ!
ข้ามา...มาตามเสียงเรียก...
เหอ! เหอ!...
ไหน...ใครเรียกข้า
อยู่ที่ไหน เหอ เหอ เหอ...!”
