ข้อมูล
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
รายละเอียดสินค้า

 เรื่อง          บันทึกวังหลวง ดาวทวารทัพพิทักษ์อุดร 宫中记·北落师门
 ผู้แต่ง         เช่อเช่อชิงหาน (侧侧轻寒)
 ผู้แปล         ลดาอนัน
 สำนักพิมพ์   สำนักพิมพ์วารา

         ดาวบนท้องฟ้าดวงนั้นส่องสว่างตลอดกาล
ก็เหมือนกับรักแรกที่ข้ามีให้เจ้าซึ่งไม่มีวันมอดดับ
เจ้าคือคนที่ข้าใช้เวลา 10 ปีเพื่อรัก 10 ปีเพื่อเกลียด
และมีชีวิตที่เหลือ...เพื่อลืมเลือน    

 บทนำ
ในฝันราตรีกลีบบัวพลิ้วไหว

วันนี้เป็นวันแมลงตื่น
ถูกเหวี่ยงกระชากออกมาจากความฝันด้วยเสียงฟ้าร้องคำรามที่ดังมาแต่ไกล ข้าเดินออกมาจากหอเรือนเหยียนชุน อาศัยแสงสว่างจากโคมไฟเงี่ยหูฟังเสียงนอกตำหนัก: แมลงฤดูใบไม้ผลิยังไม่ออกมา ไร้ซึ่งสรรพเสียงใด
ทุกสิ่งทุกอย่างในความฝันเหลือทิ้งไว้เพียงประโยคกะพร่องกะแพร่ง

ดื่มด่ำดอกไม้ไฟเดือนสี่ ในฝันราตรีกลีบบัวพลิ้วไหว
เรื่องราวงดงามในอดีตครั้งเยาว์วัย ลบเลือนหายไปตามกาลเวลา ลมฟ้าลมฝนโถมหายามสายัณห์

ไพล่นึกขึ้นมาได้ว่า จริง ๆ แล้วครั้งแรกที่ข้ากับนางเจอกันก็เป็นวันแมลงตื่นเมื่อสิบปีก่อน

ตอนนั้นข้าอายุสิบสาม นางอายุประมาณสิบแปดสิบเก้า จนถึงตอนนี้ข้าอายุยี่สิบสามแล้ว นางกลับยังคงอายุสิบแปดสิบเก้าดุจเดิม

จนถึงทุกวันนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่านางมาจากไหน บ้านเกิดของนางเป็นสถานที่แบบใด เมื่อก่อนนางเคยใช้ชีวิตอย่างไร

แล้วตอนนี้นางกำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ มีหรือที่ข้าจะรู้ ?

เสียงฟ้าคะนองที่ดังแว่วจากทิศไกล คล้ายฟาดผ่าอยู่บนหัวใจข้า
ลมราตรีเย็นเยียบ

ข้าห่อตัวเข้าหากันน้อย ๆ นับตั้งแต่อายุสิบสาม ข้าก็ขลาดกลัวสิ่งที่หนาวเย็นมาโดยตลอด

ตรองดูข้าก็คิดว่านางพูดถูก แท้จริงแล้วข้าไม่เคยเติบโตเลยแม้แต่นิด
สิบปี ข้าดึงดันที่จะรอนางอยู่ในกาลเวลาเมื่อครั้งอายุสิบสาม

เบื้องหลังมีคนคลุมเสื้อให้ข้าเบา ๆ
ไม่ต้องหันหน้ากลับไปก็รู้ว่าเป็นจางชิงหย่วน นางเป็นคนนอนระวังตัว ย่อมต้องรู้อยู่แล้ว

จางชิงหย่วนถือเป็นคนที่ข้าดูแลและเอาใจใส่มากที่สุดในตอนนี้ ก่อนหน้านั้นนางเป็นนางกำนัลข้างกายหยางซูเฟย ตอนที่ข้าไปหาหยางซูเฟย นางถอดรองเท้าของตัวเองยกขึ้นตบหนอนดักแด้ตัวหนึ่งบนโต๊ะหิน ดังนั้นข้าจึงขอตัวนางมาจากซูเฟย

สำหรับโชควาสนาครั้งนี้ ตัวนางเองก็ข้องใจสงสัยเช่นกัน จึงถามหาสาเหตุจากข้า
“เพราะข้าชอบสายตาดุดันของเจ้า” ข้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

ภายหลังไม่ว่าข้าจะเดินไปที่ไหน ที่นั่นก็จะต้องมีคนกำลังตบหนอนดักแด้ จนกระทั่งข้ารำคาญใจ สั่งห้ามอย่างเด็ดขาดถึงจะหยุดลงไปได้

แท้จริงแล้วพวกนางล้วนไม่รู้ว่าสาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของโต๊ะที่จางชิงหย่วนตบหนอนดักแด้ตัวนั้น ก็คือเสด็จแม่ของข้า

ข้าชอบท่าทางประพฤติตนเหมือนอยู่เพียงลำพัง ไม่เกรงกลัวอะไรของนาง
ก็เหมือนกับครั้งแรกที่ข้าได้เจอคนที่ตัวเองชอบ ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงที่ข้าต้องการ ไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยนุ่มนวล

ตอนนั้นข้าเคยครุ่นคิดในยามค่ำคืน สมมติว่านางเป็นเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่แสร้งตบแมลงต่อหน้าข้าคล้ายไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเช่นนั้นชีวิตนี้ของข้าก็คงสมบูรณ์แบบไปแล้ว

น่าเสียดาย เกรงว่าข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้วตลอดกาล
นางอยู่ในโลกของนาง ส่วนข้าถูกขังอยู่ในกาลเวลาของเมื่อตอนอายุสิบสามสิบสี่ปี ต่อให้รอบกายจะมีคนรูปโฉมงามพิลาศมากมายเท่าไหร่ ทว่ากลับจดจำได้เพียงหางคิ้วและร่องหนังตาของนางเวลายิ้มน้อย ๆ เมื่อครั้งอดีตแสนห่างไกลเท่านั้น

ต่อให้เราได้พบกันในตอนนี้ ไม่ว่าคำพูดใดล้วนแหนงหน่ายที่จะกล่าวออกมา ทว่าในความฝันยามราตรีทุกคืน ข้ากลับสามารถวาดท่าทางของนางลงบนผ้าห่มได้อย่างชัดเจน หลายปีมานี้ ไม่เคยผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ที่แท้ข้าไม่เคยลบลืมทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาง...

รถลากเคลื่อนเข้าใกล้ประตูตงหัว ข้าบอกให้หยุด ลงมาเดินอยู่บนทางที่ปูด้วยอิฐ ลมราตรีพกพาความเย็นของฤดูใบไม้ผลิโชยมาพร้อมกัน คล้ายต้องการฉีกกระชากสรรพสิ่งบนโลกให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“โป๋ฟาง”
โป๋ฟางรีบเดินรุดหน้าเข้ามาหา
“พรุ่งนี้ไม่มีประชุมขุนนางใช่ไหม ?”
“พรุ่งนี้ไม่มี จนกระทั่งถึงวันที่สิบเก้าถึงจะมีพ่ะย่ะค่ะ”
ข้าพยักหน้า กล่าวว่า: “ไป...ไปตำหนักจิ่นขุยกัน”
เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ถามขึ้นว่า: “ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยแจ้งตำหนักจิ่นขุยให้ข้ารับใช้เตรียมต้อนรับแล้วค่อยไปดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?”
ข้าพูดเสียงเบา: “ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนนาง เราแค่จะแอบไปดูสักหน่อย”

ตำหนักจิ่นขุยอยู่ในวังส่วนใน รถลากเคลื่อนเชื่องช้าไปตามเส้นทาง เลิกผ้าม่านมองดู ท่ามกลางลมและน้ำค้าง ดอกซิ่ง ลอยปลิวเต็มท้องฟ้าราวกับหิมะ ทั้งยังลอยเข้ามาในแขนเสื้อของข้า
คล้ายการออกไปเที่ยวในวันฤดูใบไม้ผลิของปีนั้น
ความหรูหรางามวิจิตรทุกอย่าง สุดท้ายก็เหลือเพียงเศษส่วนที่ซีดเซียวหมดความสดใส

ไฟในตำหนักจิ่นขุยดับลงหมดแล้ว เดินเข้าไปรู้สึกถึงเพียงความเยือกเย็น
สั่งห้ามทุกคน เดินเข้าไปในตำหนักเพียงลำพัง
นี่คือสถานที่ที่ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เข้ามาทางประตูหลักทิศใต้สิ่งที่เจอไม่ใช่โถงใหญ่ แต่เป็นภูเขาจำลอง เมื่อหันมาทางด้านข้างของภูเขาจำลองคือระเบียงทอดยาวที่มีต้นตีนตุ๊กแกเลื้อยปกคลุม โถงหน้าโอ่อ่า ดอกตี้ถางในสวนดอกไม้ชูช่อสลอน หลังตำหนักคือสระน้ำเฉินโหยว ตอนนี้นางอาศัยอยู่ในหอเรือนฮวายอวิ๋นข้างสระน้ำ

ยืนอยู่ด้านล่างหอเรือนครู่หนึ่ง มองไม่เห็นแสงไฟ นางคงจะหลับไปแล้ว
ที่นี่ดีมาก ไม่เหมือนที่อื่นในวังที่ไม่ว่ายามใดก็ต้องจุดไฟ เวลานอนมักหลับไม่สนิท

ฟังเสียงดอกไห่ถางด้านข้างร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน กลีบดอกสีชมพูนั้นกลาดเกลื่อนเต็มพื้นทว่าไม่มีใครได้เห็น
นอกจากพระจันทร์ดวงกลมบนท้องฟ้าแล้ว ก็ไม่มีใครรู้อีก

ในที่สุดก็รู้สึกว่าความสนใจเริ่มบางเบาลง แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการทำอะไร ขณะที่กำลังจะหมุนตัวจากไป กลับพบว่านางยืนมองข้าจากประตูดวงจันทร์

ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าซีดขาวของนางคล้ายจะกลมกลืนไปกับผนังด้านหลัง
ลำคอของข้าแข็งเกร็งขึ้นมา พูดอะไรไม่ออกสักคำ
นางมองข้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย สายตาไร้คลื่นแห่งความตกใจ คล้ายกำลังมองต้นไห่ถางอันแสนธรรมดาท่ามกลางแสงจันทร์
แต่ข้า กลับได้ยินเสียงฟ้าคะนองผ่าลงมาที่ข้างหูอย่างชัดเจน

เรื่องราวทุกอย่างล้วนเริ่มต้นขึ้นจากวันนี้

ครั้งแรกที่ได้เจอกับนาง คือวันที่ยี่สิบ เดือนสอง ปีรัชสมัยหยวนซิ่ง
ปีนั้นข้าอายุสิบสามปี

เมื่อข้าเดินขึ้นไปบนหอปู้เทียนไถ มองดาวนครต้องห้ามสีม่วง กลางฟากฟ้า ทว่ามันกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ดั่งว่าเสด็จพ่อของข้ายังคงปลอดภัยไร้โรคา

เมื่อวานเสด็จพ่อสวรรคต ทิ้งพระพินัยกรรมบอกไว้เพียงว่า---
องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์
แต่งตั้งฮองเฮาให้เป็นฮองไทเฮา มีสิทธิ์ทั้งในด้านทหารและการปกครอง
ส่งทูตไปบอกข่าวเศร้าอาลัยนี้แก่เผ่าชี่ตาน

ไม่มีคำพูดอื่นใดอีก
ข้าอยากจะบอกเขาว่าข้ากลัวมาก ข้าคุกเข่าอยู่หน้าเตียงของเขา ท่ามกลางอากาศเหน็บหนาวของเดือนสอง ร่างของข้าสั่นเทา น้ำตาเย็นเฉียบไหลริน ทว่าเขากลับไม่พูดอะไรสักอย่าง จนกระทั่งทิ้งคำพูดประโยคสุดท้ายเอาไว้ เขาจับมือข้าแล้วกล่าวว่า: “จงปฏิบัติตัวดีต่อใต้หล้านะ โซ่วอี้”

ข้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าควรเผชิญหน้ากับความตายของเขาอย่างไร แล้วข้าจะเผชิญกับใต้หล้าได้อย่างไร ?

เสด็จพ่อจากไปที่ตำหนักเหยียนชิ่ง จากพระพินัยกรรมที่เขาระบุไว้ ข้าจึงต้องขึ้นครองราชย์ต่อหน้าโลงศพ

หลังจากได้รับการเคารพหมอบกราบจากพวกขุนนางแล้ว ข้าก็นั่งคุกเข่าหันไปทางตำหนักด้านใน: “ขอเสด็จแม่โปรดสำเร็จราชการหลังม่าน”

วันที่สองหลังจากเสด็จพ่อสวรรคต ข้านอนอยู่ในเครื่องดูดาวบนหอปู้เทียนไถ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนวงเวียนคู่หาตำแหน่ง มองดูดาวเป่ยเฉินอย่างละเอียด
ไม่รู้ว่าตอนนี้เสด็จพ่อจะไปถึงที่นั่นหรือยัง
แต่ถ้าฮ่องเต้ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันล้วนไปอยู่ที่นั่นกันหมด แล้วที่นั่นจะบรรจุดวงวิญญาณห้าวหาญได้มากกี่ดวงกันแน่ ?

ขณะที่ข้ากำลังตั้งใจดูดาว ทันใดนั้นก็มีเสียงคนถามขึ้นมาข้างกายข้า: “นี่ นายมานอนอยู่ในกล่องประหลาดนี่ทำไมน่ะ ?”
ข้าได้ยินเสียงคนพูดขึ้นข้างกายอย่างกะทันหัน ตกใจจนสะดุ้งโหยง ลูกหมุนส่ายไหว ดาวเป่ยเฉินจึงหลุดจากตำแหน่งไป
ข้าบอกข้าหลวงรับใช้แล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามให้คนอื่นเข้ามา ?

ข้าอารมณ์เสียเล็กน้อย ลุกขึ้นนั่งช้า ๆ มองหญิงสาวที่อยู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นผู้นั้น

นี่คือครั้งแรกที่ข้าได้เจอกับนาง และก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นหญิงสาวประหลาดขนาดนี้

อาภรณ์ที่นางสวมใส่ดูพิลึกพิลั่น แขนเสื้อเล็กแคบ ปกเสื้อก็ตั้งสูงคล้ายคลุมคอเอาไว้หมด อีกอย่าง...กระโปรงที่นางสวมก็ทั้งเล็กทั้งแคบ

หญิงสาวคนหนึ่ง ออกมาข้างนอกดึก ๆ ดื่น ๆ มาที่กองโหราศาสตร์ ทั้งยังสวมกระโปรง
ไม่หวีผมให้เรียบร้อย ปล่อยแผ่สยายยุ่งเหยิง ไม่ได้ประทินผิวหน้า เปลือยหน้าออกมาเจอผู้คน
แปลกประหลาดเสียจริง
หรือนางจะเดินละเมอออกมา ?

ดังนั้นข้าจึงยกมือออกไปโบกด้านหน้านางสองสามที ไม่นึกว่านางจะคว้ามือของข้าไว้ ถามว่า: “ทำอะไร ? นึกว่าฉันมองไม่เห็นนายหรือ ?”
“เปล่า อาภรณ์ของเจ้า ประหลาดมาก...” ข้าพูดเสียงเบา เมื่อมาอยู่ต่อหน้านางที่เปิดเผยตรงไปตรงมา ข้ากลับรู้สึกละอายใจ
ข้าไม่สมควรเป็นฮ่องเต้จริงด้วย

นางก้มหน้าลงมองอาภรณ์ของตัวเอง หัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า: “โทษทีนะ ฉันลืมเปลี่ยนน่ะ” เหมือนนางจะลืมไปแล้วว่ายังไม่ได้ปล่อยมือของข้า เอาแต่หัวเราะอยู่กับตัวเอง

ฝ่ามือของนางร้อน อบอุ่นอย่างมาก คล้ายว่านางเดินออกมาจากฤดูร้อนอย่างไรอย่างนั้น
นางมองข้า ปล่อยมือข้าออกพร้อมรอยยิ้ม แต่กลับใช้มือข้างนั้นตบแปะ ๆ ลงบนแก้มขวาของข้า ถามว่า: “น้องชาย ทำไมนายหน้าแดงแบบนี้ล่ะ ?”
นางลูบคลำใบหน้าของข้า...
นี่นางถึงขนาดสัมผัสใบหน้าของข้า...

ข้าอ้าปากค้าง ใบหน้ารู้สึกเหมือนคนเป็นไข้ เลือดพุ่งทะลักขึ้นสู่ด้านบน
นางกลับไม่สนใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าท่ามกลางลมหนาว พูดพึมพำกับตัวเอง: “ไม่รู้ว่ากระโดดมาอยู่ยุคไหน แม้แต่แอร์ก็ไม่มี ทรมานจริง ๆ”

ข้าไม่รู้ว่านางกำลังพูดอะไร ดังนั้นจึงนั่งเงียบ ข้าไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่จับหน้าผู้ชายแล้วยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้มาก่อน
“น้องชาย พี่สาวถามอะไรหน่อยสิ” นางมองหน้าข้าด้วยรอยยิ้ม

ข้าอายุสิบสามปีแล้ว ทั้งยังครองราชย์เป็นฮ่องเต้แล้วด้วย ทว่านางกลับเรียกข้าว่าน้องชายหน้าตาเฉย แต่ไม่รู้ทำไม ข้ากลับรู้สึกว่านางดูอบอุ่นยิ่งกว่าพวกคนที่คุกเข่าร้องปาว ๆ ว่าให้ข้าอายุยืนหมื่นปีเหล่านั้นเสียอีก ดังนั้นข้าจึงมองนางแล้วพยักหน้า
“ตอนนี้คือเวลาอะไร ?”
“ประมาณยามจื่อสือแล้ว” ข้าพูด
“ไม่ใช่ พี่สาวถามนายว่า ตอนนี้เป็นยุคไหน ?” นางถาม

คนผู้นี้ถึงขนาดไม่รู้ว่าตอนนี้คือใต้หล้าของใคร นางมาจากไหนกันแน่ ?
ทว่าข้ากลับยังคงตอบนางอย่างว่าง่าย: “ตอนนี้คือวันที่สิบสอง เดือนสอง รัชสมัยต้าซ่ง เฉียนซิ่ง”
“สมัยเฉียนซิ่ง ? ฮ่องเต้องค์ไหนหรือ ?” นางขมวดคิ้ว
“พวกขุนนางใหญ่กราบทูลว่า น่าจะร่างชื่อให้เป็นฮ่องเต้อิงฝูจีกู่เสินกง รั่งเต๋อเหวินหมิง อู่ติ้งจางเซิ่งหยวนเซี่ยว ” ข้ากล่าว
“ว้าว นายท่องประโยคได้ยาวขนาดนี้เชียว ?” นางหัวเราะเสียงดัง

คนผู้นี้ราวกับไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงอย่างไรอย่างนั้น ปากอ้าได้กว้างแค่ไหนก็อ้าเท่านั้น ดวงตาเบิกได้กว้างเท่าไหร่ก็กว้างเท่านั้น นางไม่รู้เลยหรือว่าอะไรคือการสำรวมกิริยาของหญิงสาว ? ไม่รู้เลยหรือว่าคนเราหากใช้ชีวิตตามอำเภอใจมากเกินไปจะลำบากเอาได้ ?
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีชื่อศาลบรรพชนของฮ่องเต้องค์ก่อนสิ ?” นางถาม
ข้าพูดเสียงเบา: “ฮ่องเต้องค์ก่อนเพิ่งสวรรคต ฝ่ายพิธีการยังไม่ได้ร่างชื่อศาลบรรพชน”
“อย่างนี้เองหรือ...” นางรวบผม จากนั้นก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ไม่รู้ก็ไม่รู้” นางมองไปรอบด้าน ถามขึ้นมาอีกว่า “ที่นี่คือที่ไหนหรือ ?”
“เมืองหลวงเปี้ยนเหลียง”
ในที่สุดนางก็ตระหนักรู้ขึ้นมา: “อ๋า ที่แท้ก็เป่ยซ่งนี่เอง”
“จินซ่ง” ข้าแก้ไขให้นาง
“ราชวงศ์ซ่ง” นางยิ้มพยักหน้า “ที่นี่คือที่ไหนของเมืองเปี้ยนเหลียงหรือ...”
นางมองไปรอบด้าน จากนั้นก็สูดลมเย็น ๆ เข้าปอด ถาม: “วังหลวง ?”
ข้าพยักหน้า นางตะลึงไปนานมาก ชี้มาที่ข้าแล้วถามว่า: “นาย...บนชุดนายมีมังกรนี่นา”
เจ้าเพิ่งจะเห็นหรือไง ? ข้าคิดอย่างดูแคลน ทว่าท่าทางของนางน่ารักมาก ดังนั้นข้าจึงลืมซักไซ้เอาผิดโทษฐานที่นางชี้นิ้วใส่

ข้ายังนึกว่านางจะต้องคุกเข่าขออภัยโทษ นึกไม่ถึงว่านางจะมองไปรอบ ๆ เอียงตัวเข้ามากระซิบกระซาบข้างหูข้า: “นี่ ข้างกายนายมีขันทีไหม ? ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน เรียกมาสักคนให้ฉันได้เปิดโลกทัศน์หน่อยได้ไหม ? เดี๋ยวพี่สาวเลี้ยงลูกอม”
ขันที ?
ข้ามองท่าทางลึกลับของนาง ถามว่า: “อะไรคือขันที ?”
นางทำท่าจะเป็นลม จากนั้นก็ถามว่า: “แล้วราชวงศ์ซ่งเขาเรียกกันว่าอะไรล่ะ ? คนตอน ?”
“เจ้าหมายถึงข้าหลวงรับใช้น่ะหรือ ?” ข้าถาม
“ใช่แล้ว ๆ น่าจะใช่แหละ” นางกล่าว

ผู้หญิงคนนี้พิลึกจริงเชียว ในวังอะไรก็มีไม่มาก ที่มีมากก็คือข้าหลวงรับใช้ นางไปดูเองก็ได้ เหตุใดต้องให้ข้าเรียกมาให้นางดูด้วย ?
ข้าส่ายหัวปฏิเสธ
“คนขี้งก !” นางฮึดฮัดหนึ่งที จากนั้นก็กระโดดมาอยู่ข้างเครื่องดูดาว ถามว่า “แล้วอันนี้ล่ะคืออะไร ?”
“เครื่องดูดาว เอาไว้ใช้สังเกตปรากฏการณ์ของดวงดาว”
“อ๋า ? จริงหรือ ? ใช้ยังไง ?” นางมุดเข้าไปทันที

หญิงสาวผู้นี้เหตุใดถึงได้ทำตามอำเภอใจตัวเองขนาดนี้นะ ?
ข้ามองลงไปข้างล่าง ลังเลว่าควรจะเรียกคนให้มาพาหญิงประหลาดผู้นี้ออกไปดีหรือไม่

นางนั่งอยู่ในเครื่องดูดาว มองมายังข้าผ่านรางวงกลมที่ทำมาจากทองแดง ถามว่า: “น้องชาย เครื่องนี้ใช้ยังไงหรือ ?”
ข้ามองนางเงียบ ๆ แสงรุบรู่จากพระจันทร์เสี้ยวสาดส่องลงมาบนเส้นผมของนางทำให้เกิดเป็นเค้าโครงสีน้ำเงินเข้ม เพราะเงาทับซ้อนของรางวงกลม ทำให้รอยยิ้มของนางเหมือนผีเสื้อที่ถูกขังอยู่ในกรงซี่ห่าง ไม่มีแม้แต่ความคุกคาม ทั้งแค่ยื่นมือไปก็คว้าจับเอาไว้ได้

ข้าได้ยินเสียงลมราตรีของต้นฤดูใบไม้ผลิโชยผ่านริมหู เจาะทะลุเข้าไปในอนาคตที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
ราวกับภาพวาดน้ำหมึก เดี๋ยวเข้มเดี๋ยวจางทั้งยังโดดเดี่ยวไร้สรรพเสียง
เมื่อก่อนข้าไม่เคยเจอชีวิตที่สดใสเช่นนี้มาก่อน ในวังหลวงแห่งนี้ที่กลิ่นอายความตายแผ่คลุมไปทั่ว นางจึงดูผิดแผกไปอย่างสิ้นเชิง

เท้าของข้าเดินไปหยุดอยู่ข้างกายนางอย่างไม่ฟังเสียงเจ้าของ
ย่อตัวลงข้างเครื่องดูดาว ข้าชี้ไปที่วงแหวนคู่ให้นางดู: “นี่คือวงแหวนคู่ สลักองศาสามร้อยหกสิบห้าองศาของจักรวาลเอาไว้ ทิศเหนือกับทิศใต้ตรงข้ามกัน จุดที่พ้นพื้นขึ้นมาสามสิบห้าองศาคือองศาของขั้วโลกเหนือ เจ็ดสิบสององศาสี่ด้านคือตำแหน่งของนครต้องห้ามสีม่วง สองร้อยยี่สิบองศาสี่ด้านคือวังนอกในเส้นศูนย์สูตรจักรราศี ขั้วโลกใต้ยี่สิบองศา นอกจากดาวผู้เฒ่าแล้ว โดยทั่วไปล้วนซ่อนอยู่ล่างเส้นแนวระดับ
“บนลูกหมุนก็มีการสลักจักรวาลเอาไว้เช่นกัน ใช้เชือกร้อยลงไปยังแกนด้านบนของวงแหวนคู่ก็จะสามารถหมุนซ้ายขวามองกลุ่มดาวที่อยู่ใกล้และไกล ตามจักรวาล...”
ข้ายังพูดไม่ทันจบ นางก็ใช้กล้องส่องหันไปบนฟ้า ถาม: “ดาวดวงนั้นสวยมากเลย ดาวอะไรหรือ ?”
“ตรงไหน ?” ข้าถาม
“ตรงนี้” นางดึงไหล่ของข้าเข้าหา ข้าไม่ทันตั้งตัว คางจึงกระแทกเข้าที่คอของนาง
“โอ้ย เจ็บจัง...” นางนวดคลึงลำคอ จากนั้นก็ลากข้าไปที่กล้องส่องดาว
ข้ามองดวงดาวด้วยความเลื่อนลอย
ข้าได้กลิ่นหอมจากร่างของนาง กลิ่นคล้ายดอกจำปี อ่อนเยาว์แต่อึมครึม

ดาวดวงที่นางชี้คือดาวกำแพงตลาดสวรรค์ตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ว่าใครก็น่าจะรู้สิถึงจะถูก
“นั่นคือดาวสาวทอผ้า” ข้าบอกนาง
“อ๋า...ที่แท้ก็ดาวสาวทอผ้า” นางหมุนกล้องส่องดาวไปมาอย่างตื่นเต้น “ขอฉันดูหน่อย ดาวหนุ่มเลี้ยงวัวอยู่ที่ไหนล่ะ ?”
นางหาอยู่นาน ถาม: “ใช่ดวงนี้ไหม ?”
ข้าเขยิบเข้าไปดู ทว่าเพราะไม่ได้มุมจึงมองไม่เห็น
นางดึงข้าเข้าไปใกล้ ในพื้นที่เล็กแคบ ข้าแทบจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจของนางที่พ่นรดอยู่บนลำคอของข้าเบา ๆ ขนตลอดร่างของข้าลุกเยือก ทำไมนางถึงเป็นอย่างนี้ได้นะ ?
“นี่ ใช่หรือไม่ใช่ ?” นางถาม

ข้าเงยหน้ามองนาง ดูเหมือนว่านางจะแก่กว่าข้าเยอะมาก น่าจะอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีแล้วกระมัง...และสายตาของนางที่มองข้า กลับคล้ายว่าข้ายังเป็นเด็กสามสี่ขวบคนหนึ่ง
กัดริมฝีปาก ข้าหันไปมองดาวดวงนั้นอย่างตั้งใจ ที่แท้ไม่ใช่
“เจ้าดูทางทิศเหนือของดาวดวงนี้ มีดาวกองทัพอวี้หลินสี่สิบห้าดวงก่อตัวเป็นกำแพงอยู่ทางทิศใต้ แยกกระจายกันไปกลุ่มละสามดวง ดังนั้นมันคือดาวทวารทัพพิทักษ์อุดร ดาวกองทัพอวี้หลินอยู่ทางทิศใต้ ห้องพักเหนืออยู่ทางทิศเหนือ เป็นดาวที่สว่างมากที่สุด ตอนนี้มันทั้งใหญ่และสุกสกาว เป็นสัญลักษณ์ว่าใต้หล้าจะอยู่เย็นเป็นสุข; หากมันเล็ก ส่งแสงรุบรู่ นั่นก็หมายความว่าจะมีภัยพิบัติทางทหาร”

ข้าบอกนางอย่างจริงจัง นางกลับหัวเราะ: “งมงาย มันจะเป็นไปได้ยังไง ?”
ข้าเงียบงัน บางทีนางอาจพูดถูก เพราะหกเจ็ดปีมานี้ข้าไม่เคยเห็นลางบอกเหตุเช่นนี้ในกลุ่มดาวมาก่อน---แม้แต่เสด็จพ่อสวรรคต ธารดวงดาวที่เย็นเฉียบแห่งนี้ก็ไม่เคยมีลางบอกเหตุใด ๆ
“ฉันต้องกลับไปเตรียมของสำหรับเข้าวังแล้วล่ะ น้องชาย นายอย่าไปบอกใครเรื่องการปรากฏตัวของฉันนะ ห้ามบอกเด็ดขาดเลย” นางลูบคลำเส้นผมของข้า คิดจะออกไปแต่เพราะพวกเราต่างก็ถูกขังอยู่ในนี้ อีกทั้งข้าก็ไม่กล้าสัมผัสโดนตัวของนาง ตอนนี้นางจึงออกไปไม่ได้

นางใจร้อน ปีนผ่านร่างข้าออกไปโดยตรง เข่าของนางกระแทกเข้าที่ชาโครงขวาของข้าอย่างแรง เจ็บชะมัด
ข้าเห็นนางลุกขึ้นยืน ในที่สุดก็อดไม่ไหวจนต้องหลุดปากถามไป: “เจ้าเป็นใคร ? มาจากที่ไหน ?”
“ฉันหรือ ?” นางหันหน้ากลับมามองข้าท่ามกลางความมืดมิด ยิ้มน้อย ๆ “ฉันมาจากสถานที่ที่ห่างไกลมากเลยล่ะ...นายอย่าบอกคนอื่นนะ พรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่”
ข้ารีบพยักหน้า
นางยิ้มแล้วโบกมือ: “บ๊ายบาย !”

บ๊ายบาย ? หมายความว่าอะไร ?
ขณะที่ข้ากำลังรู้สึกแปลกประหลาดอยู่นั้น
อยู่ ๆ นางก็กระโดดตัวสูงต่อหน้าข้า แล้วหายวับไป กลางอากาศ
คล้ายไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

ข้ามองสถานที่ที่นางหายตัวไป เหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็เดินลงมาจากหอสูง คนของกองโหราศาสตร์รออยู่ข้างล่าง
หันกลับไปมองหอปู้เทียนไถอันว่างเปล่า ข้าถามพวกข้าหลวงรับใช้: “เมื่อครู่มีคนขึ้นไปหรือไม่ ?”
พวกข้าหลวงรับใช้ส่ายหัวอย่างพร้อมเพรียง
ข้ายืนคิดอยู่ตรงนั้นนานมาก ในที่สุดก็เข้าใจ นางน่าจะเป็นปีศาจจิ้งจอกในนิทานที่โป๋ฟางเล่าให้ฟัง นางมาเพื่อล่อลวงผู้คน

อยากจะบอกโป๋ฟางว่าวันนี้ข้าถูกปีศาจจิ้งจอกหยอกเย้าเอาเสียแล้ว ทว่านึกถึงเสด็จพ่อ อารมณ์ก็เปลี่ยนมาอัดอั้น จึงเลือกที่จะไม่เล่าออกมา
ต่อให้เสด็จพ่อจะไม่เคยกอดข้า ไม่เคยพูดกับข้าเกินสามประโยค
ทว่าตอนนี้ข้าก็ไม่มีพ่ออีกแล้ว

ใช่แล้ว ตอนที่ข้าเจอนาง เป็นวันที่ข้าโดดเดี่ยวมากที่สุด ทุกข์ทรมานมากที่สุดในชีวิต ยังไม่ทันได้เติบโต แต่กลับเข้าใจชีวิตของตนอย่างทะลุปรุโปร่ง มองเห็นว่าต่อไปตนต้องเผชิญหน้ากับเสด็จแม่ผู้มากบารมีและเหล่าขุนนางที่ต่างก็มีเรื่องที่เก็บไว้ในใจ

ในช่วงเวลาที่ข้าหวาดกลัวความหนาวเย็นมากที่สุด นางปรากฏตัวอย่างกะทันหัน

มามอบความอบอุ่นจากหนึ่งฝ่ามือให้กับข้า...

    บันทึกวังหลวง ดาวทวารทัพพิทักษ์อุดร 宫中记·北落师门 เช่อเช่อชิงหาน 侧侧轻寒 ลดาอนัน สำนักพิมพ์วารา นิยายรัก นิยายแปล นิยายจีนโบราณ นิยายข้ามภพ นิยายย้อนเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ
Tags

วิธีการชำระเงิน

null

ร้าน นิยายรัก สต๊อกสินค้าเองดังนั้นทางร้านจึงมีสินค้าพร้อมส่งค่ะ คุณลูกค้าสามารถชำระเงินได้เลยโดยไม่ต้องรอการคอนเฟิร์มจากทางร้านอีกครั้งแต่อย่างใดจร้า

                    

          -แจ้งชำระเงินผ่านหน้าเว็บ คลิ๊กที่นี่ เพิ่อแจ้งชำระเงินทันที

          -กรุณา ติดต่อกับทางร้าน เกี่ยวกับวิธีการแจ้งชำระเงินอื่นๆ นะค่ะ

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัลพลาซา รัตนาธิเบศร์ ออมทรัพย์
บมจ. ธนาคารกสิกรไทย สาขาเซ็นทรัลพลาซา รัตนาธิเบศร์ ออมทรัพย์
พูดคุย-สอบถาม